Monday, August 27, 2007

DJ ซ่า จ๊ะจ๋า on air


"สวัสดีค่ะท่านผู้ฟัง รายการที่ท่านกำลังรับฟังอยู่ในขณะนี้คือรายการคลื่นสุขภาพชุมชน รายการสุขภาพเพื่อคนรักสุขภาพ โดยทีมงานเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลห้วยพลู ออกอากาศทุกวันในเวลา 8.00 – 9.00 น. ทางสถานีวิทยุ FM 92.25 MHz สำหรับวันนี้ ดิฉัน ภญ.พจนารถ โตประศรี รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการค่ะ"



ไม่นึกเล้ยว่าจะไปจัดรายการวิทยุกับเขามาได้กว่า 1 ปีแล้ว เพราะจะว่าไป ไม่มีทักษะทางด้านนี้เลย พูด "ร" "ล" ยังไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ และส่วนใหญ่จะเป็นการอ่านมากกว่าพูดซะด้วยซ้ำ แต่ก็เอาวะ ถือเป็นหน้าที่อย่างนึง ไปก็ไป........



หลังจากทำรายการมาเป็นปี บางครั้งต้องไปจัดรายการคนเดียวไม่มีพิธีกรคู่ (ซึ่งแรกๆ จะประสบปัญหาพูดติดต่อกันแล้วหายใจไม่ทัน...........เกือบตาย) เดี๋ยวนี้เลยเริ่มสนิทกับเจ้าหน้าที่สถานี ที่ทำหน้าที่เปิดเพลงให้



เลยขอเพลงได้ตามใจฉัน



และคนฟังถ้าเป็นคนที่รู้จักกันดีก็จะรู้ว่าเป็นเราจัดเพราะจะมีเพลงประมาณว่า

"อยากให้ช่วยมาจีบ มาจีบ ชั้นที.........." จีบฉันที (แบล๊กวานิลา)

หรือ "โปรดส่งใคร้มารักช้านที.............." โปรดส่งใครมารักฉันที (Instinct)



ช่วงนี้หลังจากไปเยอรมันตะวันแดงมา ก็ไปติดใจเพลง "สัญญาหน้าฝน" ของคาราบาว



เลยมั่วนิ่มเปิดในหน้าฝนได้



แต่ยังไม่กล้าเปิด "ทำบุญร่วมชาติ" ของ ชาย เมืองสิงห์ ที่ตอนฟังที่โรงเบียร์ก็มันดี แต่พอฟังจาก mp3 แล้วยังมีกลิ่นโบ (ราณ) อยู่



เลยไม่ขอให้เค้าเปิดให้ เพราะผิด concept คือ ไม่เข้ากับหน้าตา



แต่ก็นะ ได้หลีกหนีการจ่ายยาไปครึ่งชั่วโมง เลยไม่ค่อยน่าเบื่อเท่าไหร่ แถมยังได้ความรู้เรื่องที่พูดไปอีกด้วย



เสียดายที่เวลาของทางสถานีช่วงนี้ ไม่ค่อยมีหนุ่มๆ ฟัง



เลยไม่มีใคร "ช่วยมาจีบ มาจีบ ชั้นที..." แบบในเพลงที่ขยันเปิดกรอกหู



............พยายามต่อไป ดี เจ พจ.................................


Friday, August 24, 2007

รายการเจาะใจแก้งค์ลูกยาง 1


พิธีกร สวัสดีค่ะ ที่นี่คือรายการเจาะใจ (ใส่ไข่เล็กน้อย) ถึงลูกถึงคน วันนี้เราจะมาสัมภาษณ์สดผู้บริหารรายล่าสุดที่ประกาศสละโสดกลางทริปกระบี่กันนะคะ

พิธีกร : ไม่ทราบว่าตอนนี้รู้สึกยังไงบ้างคะกับ coming soon wedding?

เอก : ตื่นเต้นเหมือนกัน ว่าถึงตาเราแล้วเหรอเนี่ย

พิธีกร : ใช้เวลาในการตัดสินใจลงจากคานนานแค่ไหน?

เอก : ประมาณ 1 ปี ที่ผ่านมา แต่บางช่วงก็ไม่อยากแต่ง แต่บางช่วงก็อยากแต่ง ขึ้นๆลงๆ


พิธีกร : อยากให้ช่วยเล่าคร่าวๆ ถึงเจ้าสาวคนนี้ ว่าเป็นใคร ทำงานอะไร ฯลฯ (เอาสั้นๆ แต่ละเอียดๆ)

เอก : ทำงานที่บริษัทเดียวกันนี่แหละ ไม่ได้ไปหาไกล กลัวเปลืองค่าน้ำมันรถ ค่าโทรศัพท์ ก็เห็นๆกันอยู่ไม่ได้ไปเถลไถลที่ไหน เรามั่นใจในตัวเองอยู่แล้วว่ามั่นคง (หรือเปล่า)

พิธีกร : แล้วคบกันมากี่ปีแล้วคะ?

เอก : ประมาณ 3 ปี ได้มั้ง (หากให้ชัวร์ต้องถามน้องเค้าอีกที เพราะไม่แน่ใจว่าเริ่มรู้สึกดีๆมากกว่าพี่และน้องเมื่อไร)

พิธีกร : ประทับใจอะไรในตัวแฟนมากที่สุด?

เอก : ความเอาใจใส่ครับ เค้าน่าจะดูแลในส่วนที่เราขาดไปได้ (คมไหม?)

พิธีกร : กำหนดวันจัดงานได้หรือยังคะ และคิดว่าจะจัดที่สถานที่ไหน?

เอก : วันแต่งจริงๆ คือ 15 ม.ค แต่งานเลี้ยงศุกร์ 18 ม.ค 50 ที่ รร.ริเวอร์ นฐ ครับ

พิธีกร : เลือกสถานที่ฮันนีมูนรึยังคะ ว่าเป็นที่ไหน และอีกคำถามเผื่อเพื่อนๆ แก้งค์ปาก..เอ๊ย ลูกยาง ว่าถ้าเอาพวกมันไปฮันนีมูนด้วยจะเลือกสถานที่ไหนคะ?

เอก : ฮันนีมูน หากเมืองไทยก็อยากไปดอย เพราะน้องเค้าไม่เคยขึ้นดอย หากเมืองนอกประมาณสวิส (สงสัยหลังแต่งคงต้องเก็บเงินใหม่ก่อน) ส่วนเพื่อนๆไปด้วย แน่นอน จะพยายามลากน้องเค้าไปให้ได้บ้างสักครั้งละ

พิธีกร : สำหรับคำถามสุดท้ายนะคะ มีอะไรจะฝากถึงเพื่อนๆ ในกลุ่มที่ยังไม่ได้แต่งงานบ้างมั๊ยคะ?

เอก : ขึ้นอยู่กับมีคบใครไว้หรือเปล่า หากคบไว้และคิดว่าเค้าเติมเต็มในส่วนที่เราขาดได้ก็แต่งได้นะ ไม่เหงาดี แต่หากมีเพื่อนๆเหนียวแน่นมักไม่ค่อยมองหาแฟนเท่าไร (จริงไหม) เพราะหากถามว่าแฟนกับเพื่อนอันไหนคบสบายใจกว่าคงตอบว่าเพื่อน เพราะเพื่อนไม่ต้องคอยเอาใจ แต่แฟนไม่ได้เลย ละเอียดอ่อนมาก

พิธีกร : รายการเจาะใจเฉพาะกิจ (เปลี่ยนชื่อเรื่องได้หน้าตาเฉย) คงต้องหมดเวลาเพียงเท่านี้ สำหรับรายการหน้าเราจะมีการสัมภาษณ์นักเขียนหน้าใหม่ ติดตามกันได้ทางเมล์นะคะ

Friday, August 17, 2007

Making sense of the science and practice

ไปอบรมฟื้นฟูความรู้ในหัวข้อนี่แหละมา 3 วัน 15 - 17 ส.ค. 50
จัดที่โรงแรมเรดิสัน พระราม9
วันที่ 15 เดินทางแต่เช้าเลยไม่กินข้าวไป กว่าจะถึงโรงแรมก็ 8.15 หิวมั่กๆ ช่วงพักเบรกแรกเลยฟาดเค้กของโรงแรมซะ 3 ก้อน

2 สาวปุ๊ยกับตุ๋มที่ไปด้วยถึงกับตาโต ๐_O

ไม่คิดว่าเพื่อนจะเปี๊ยนไป๋ขนาดนี้

เอาเหอะ......คนมันหิวอ่ะ

ตอนเที่ยง เป็นข้าวกล่องให้กินไปนั่งฟังบรรยายไปในห้องประชุมอีกต่างหาก..........โอ้พระเจ้า เป็นการอบรมที่รันทดจริงๆ

แต่ก็เหมือนทุกทีคือ ฟังมั่ง หลับ(ซะมากกว่า)มั่ง

ตื่นขึ้นมาก็ชวนเพื่อนๆ คิดโปรแกรมตอนเย็น........

ได้ความว่าจะไปช้อบปิ้งกันที่แพลทตินั่ม ประตูน้ำ ^_^

ตกเย็นก็ไปเดินหาแท็กซี่พากันไป........

แท็กซี่ดันไปไม่ถูกอีก ต้องใช้วิธีโทรถามเพื่อน 4 คน ที่มีประโยชน์แค่คนเดียว

เอาเหอะ ไปถึงเป็นใช้ได้

งานนี้เดินขาลากอยู่นาน ได้กระโปรง 1 ตัวและชุดลองจอนเตรียมไปเที่ยวหน้าหนาวอีก 1 ชุด

จากนั้นก็หาข้าวกินเป็นอันหมดวัน

...............................................................................................

วันรุ่งขึ้นหลังจากหมดโปรแกรมฟังมั่งหลับมั่ง ไปตามประสา ก็ถึงเวลาโปรแกรมที่เตรียมไว้ตั้งแต่สมัครอบรม

นั่นคือให้จุ๋ยพาเที่ยวตระเวณราตรี ซึ่งไกด์กิตติมศักดิ์เสนอว่าจะไปโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง

อ่ะ.......ไปก็ไป

ที่จริงก็เกรงใจ 2 สาวผู้เรียบร้อยอยู่เหมือนกันว่าคงไปเคยไปสถานที่ประมาณนี้ แต่สุดท้ายก็ลากกันไปจนได้

มีพี่ยี้มาร่วมแจมตอนหลังอีก 1 คน

โหย จะว่าไปถ้าไม่สั่งเบียร์ มันก็คือร้านอาหารดีๆ นี่เอง เสียแต่คนคึกคักมากกว่า

และมีโชว์ประกอบเพลง และมีนักร้อง (เสียงดีมาก) คอยกล่อมเวลากิน

อาหารก็อร่อย อย่างขาหมูทอด

ไม่คิดว่าตัวเองจะมานั่งเลาะหนังหมูกินได้นะเนี่ย....(มันกรอบอ้ะ)

อ้วนอีกแระ.........T-T

และอย่าถามเชียวนะว่าไปอบรมเนี่ย making sense อะไรมาได้บ้าง

.......ตูก็ยังโง่เหมือนเดิมน่ะแหละ..................เฮ้อ



Monday, August 13, 2007

tag 5 สถานการณ์ที่ลืมไม่ลง


เนื่องจาก tag ที่แล้วๆ มาจะมีคำถามแบบใกล้เคียงกัน (แบบสถานการณ์เฉียดในชีวิต ที่สุดของเหตุการณ์ ฯลฯ) จะเล่าสิ่งที่อ่านแล้วประทับใจแบบต่างๆ ของเรื่อง “หัวขโมยแห่งบารามอส” ทั้ง 4 ภาค แทนละกัน หวังว่าคนส่ง tag คงไม่โกรธ (ที่จริงจะเอาเรื่องโคนันแระ แต่มันมีตั้ง 50 กว่าเล่มแล้วขี้เกียจไปเปิดดูว่าจะเล่าตอนไหนดี)

1. แฮ้ปปี้จนลืมไม่ลง
ก็ต้องเป็นตอนจบที่ภาค 4 “ดาบแห่งกษัตริย์” ที่ตัวเอก เฟรินและคาโล happy ending แต่กว่าจะง้อกันได้ ก็ลุ้นอยู่เหมือนกันว่าจะมี ตบจูบ หรือเปล่า
แล้วก็เขียนจนนึกภาพออกว่าเจ้าชายน้ำแข็ง มาดนิ่งอย่างคาโล บอกรักสาวยังไง

2. so sad จนลืมไม่ลง
ยังอยู่ที่เล่ม 4 ตอนที่เฟรินเข้าใจว่าคาโลตายไปแล้ว เพราะสู้เพื่อปกป้องเธอในสงครามกษัตริย์ จนเฟรินต้องกลับไปทำใจอยู่ในแดนปีศาจตั้งนาน หลังจากนั้นพอรู้ว่าคาโลยังมีชีวิตอยู่ เฟรินก็รีบไปหาแต่กลับพบว่าเขามีสาวอื่นอยู่เคียงข้างซะแร้ว

3. ไม่อยากเจอจนลืมไม่ลง
ไปที่เล่ม 3 “แหวนแห่งปราชญ์” ที่เฟรินถึงกับเรียกว่า “ไอ้แหวนบ้า” เพราะแหวนตัวปัญหาของเล่มนี้ทำให้เฟรินที่ขโมยเค้ามาใส่ต้องสับสนว่าเป็นความฝันหรือความจริง เกี่ยวกับภัยพิบัติที่ตัวเองได้พบ ซึ่งคนอ่านก็ขมวดคิ้วหลายรอบด้วยความงงกว่าเรื่องจะขมวดปมสรุปออกมาได้ แล้วก็ขมวดอีกท่าไหนก็ไม่รู้เพราะจบโดยที่เฟรินซึ่งเป็นตัวสร้างความยุ่งเหยิงแบบไม่ใช้สมอง กลับคิดแก้ปัญหานี้ได้ด้วยตัวเอง เอาเป็นว่าไอ้เวทมนตร์คลอบงำจิตใจแบบที่แหวนมันทำเนี่ย ไม่อยากเจอกับตัวเองละกัน

4. หวาดเสียวจนลืมไม่ลง
เป็นฉากหวาดเสียวของเล่ม 1 “มงกุฎแห่งใจ” ที่นำไปสู่เรื่องราวของเล่มต่อๆ ไป เป็นการต่อสู้ระหว่างพลังมารที่สิงอยู่ในมงกุฎแห่งใจกับนักเรียนปี 1 ของโรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์ก ที่จะว่าไปก็เรียกว่าเป็นพวกมือใหม่ แต่เก่งเป็นบ้า (ตามประสาตัวเอก เรื่องนี้ก็มีกลิ่นละม้ายๆ Harry Potter อยู่ไม่น้อย ที่เด็กๆ ต้องออกโรงสู้เอง ส่วนผู้ใหญ่มืออาชีพจะมาช่วยตอนจบ)

5. น่าเบื่อจนลืมไม่ลง
เรื่องน่าเบื่อที่สุดเห็นจะเป็นความผิดซ้ำแล้วซ้ำอีกของตัวเอกคือเฟริน ในเล่ม 2 “คทาแห่งพลัง” ที่ผู้เขียนขยันใส่มุขเดิมๆ ให้เฟรินแหกด่านคุณธรรมทั้ง 5 ของเมืองปีศาจ แบบแนวเดียวกันทั้งหมด คือเค้าห้ามอะไรไว้ พ่อนี่เป็นต้องฝ่าฝืนไปทุกเรื่อง ทั้งในเมืองหน้าด่าน เมืองยักษ์ ป่าหลงลืม หุบเขาหัวกะโหลก และนครจันทรา ซึ่งนำความเดือดร้อนมาให้กับเฟรินเองและเพื่อนๆ ที่ไปด้วยกัน (ก็ถึงว่าทำไมเดินทางด้วยกันหลายคนนัก) เรียกว่า ถ้าเฟรินไม่มีตัวช่วย โดยเฉพาะคาโล พระเอกขี่ม้าขาวล่ะก็ สงสัยจะได้ตายไปหลายรอบ

Monday, August 06, 2007

JJ mall shopping center


วันเสาร์ที่ผ่านมาพอขายยาเสร็จก็ไปช้อปต่อกับอ๋อยที่ JJ mall จตุจักร

อาศัยว่าแท็กซี่เก่าอย่างอ๋อยคุ้นเคยกับเส้นทางในกรุงเทพฯ ดี

เลยชวนไปซื้อกระโปรงที่คับติ้วเกือบทุกตัวแล้ว

และแม่ก็ระอาไม่ยอมตัดให้ใหม่ แต่บอกให้ไปลดน้ำหนักแทน

โชคดีที่ใช้ข้ออ้างว่าจะไปอบรมกลางเดือนนี้ เลยได้รับอนุมัติให้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ได้

หลังจากที่เราวนรถหาที่จอดกันเกือบครึ่งชั่วโมง

ตอนเข้าไปในห้างคิดว่าเสื้อผ้าจะเยอะสุดๆ แบบที่ประตูน้ำ แต่ก็ผิดหวัง

เพราะมีทั้งหมด 4 ชั้น ชั้นใต้ดินจะเป็นพวกของกระจุกกระจิก

ชั้น 1 ชั้นเดียวที่เน้นเสื้อผ้า

ส่วนชั้น 2 และ 3 ส่วนใหญ่จะเป็นของแต่งบ้าน

ไปเดินในชั้นเสื้อผ้าแป๊บเดียวก็เจอร้านเสื้อไซส์ใหญ่แบบที่อ๋อยชอบ

ระหว่างรออ๋อยเลือกก็สอดส่ายสายตามองหากระโปรง....เป้าหมายของการช้อปคราวนี้

ไปเจอเอาร้านฝั่งตรงข้ามที่เป็นเจ้าของเดียวกัน

ปิ๊ง กระโปรงสีม่วงไฮโซเอวยืดที่น่าจะใส่ได้ จากนั้นไปเหล่ๆ ที่ไม้แขวน

อู้.......มีกระโปรงเอวถึง 44 นิ้ว (อ้วนได้อีกนี่นา)

เมียงมองอยู่ซักพัก คนขายก็มาช่วยดูไซส์ให้

แม่เจ้า......มีกระโปรงไซส์เราจริงๆ ด้วย ก็เลยเลือกแบบอย่างเมามัน

ได้มาทั้งหมด 3 ตัว (รวมสีม่วงตัวเก่งด้วย)

นึกไปนึกมา......

เฮ้ย.....เดี๋ยวนี้ซื้อเสื้อผ้าร้านเดียวกับอ๋อยแล้วเรอะ T-T

Thursday, August 02, 2007

เรื่องเล่าจากที่ทำงาน

ชอบไปอ่านเรื่องในสำนักงานของหมูปิ้งใน bloggang แล้วฮาดี เลยลอกเลียนแบบมาเขียนมั่ง

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ...จวบจนปัจจุบัน และอนาคต

ที่ทำงานของเราเป็นโรงพยาบาลเล็กๆ ชนบทๆ แต่ไม่ไกลกรุงเทพฯ (มีจริงๆ นะ)

มาแนะนำตัวละคร เอ๊ย เพื่อนร่วมงานในแผนกให้รู้จักกันพอหอมปากหอมคอ (ไม่ควรหอมจริง) กันก่อน

เริ่มจากพี่หัวหน้าเป็นชายหนุ่ม สูงยาว ขาว ตี๋ แต่มีลูก 2 แล้ว ชื่อว่าพี่วิชชี่

ส่วนสมาชิกทั่วไปก็มีเรา (โสดอาวุโสสุด) ใครๆ ก็เรียกเจ๊

ถัดมาเป็นหนู วอนบิน-สาวน้อยใจร้อน เจ้าของคำฮิต "ลุยมันเรยมั๊ยเจ๊"

มีคู่หูดูโอ หมาเล็ก - หมาใหญ่

และคู่อาวุโส ตั้วเฮีย - ตั้วเจ๊

ปีนี้เรายังมีน้องใหม่อีก 2 คน คือลูกหนู และไข่นุ้ย

***************************************************************
อาทิตย์นี้มีวันหยุดราชการ 2 วัน พอเปิดมาวันพุธ โอ้ โห คนไข้ยั้วเยี้ย เอ๊ย ตรึมๆ

วันพุธ ในเวลาราชการก็ 500 คนได้

วันนี้-พฤหัส ก็สูสี ตอนกลับบ้านได้ 400 กว่าแล้ว

ตอนบ่ายต้องไปผลิตยาอีก เหนื่อยโครตๆ

เดือนนี้ไม่ได้กินข้าวโรงครัว เลยต้องหาซื้อกินเอง แล้วอะไรก็ไม่สะดวกเท่าร้านสะดวกซื้อ (แต่ไปซื้อแฟมิลี่มาร์ทนะไม่ใช่เซเว่น)

ซื้อแล้วก็เอามาแช่แข็งไว้

บังเอิญซื้อมาตั้งแต่วันอังคาร (วันหยุด) กล่องนึง ก็เลยแช่ไว้ที่บ้าน

แล้วก็ลืมไว้บ้านนั่นแหละ...........แต่ไม่อด เพราะไปซื้อใหม่แช่ไว้ตู้เย็นห้องยา

วันนี้ก็ก้มหน้าก้มตาจ่ายยาอยู่

ตั้วเจ๊แกก็พูดขึ้นว่า "พ่อมา"

แล้วก็มีเงาคนมาตรงช่องจ่ายยา

ทุกคนก็หวัดดีอัตโนมัติ

แล้วปกติประโยคนี้จะใช้กับหมาใหญ่ ที่พ่อต้องเป็นฝ่ายมาหาถึงโรงพยาบาล

จนผู้คนแซวกันว่าตั้งแต่แต่งงานก็ไปจงรักภักดีอยู่กะพ่อตา ลืมพ่อแม่ตัวเองซะแร้ว

เล่าต่อ........จากนั้นเจ้าของเงายื่นถุงใส่ของมาให้

เราก็รับแบบอัตโนมัติซะอีก

พอมองหน้าคนให้.........วันนี้ทำไมพ่อหมาใหญ่หน้าคุ้นๆ ฟะ - -'

(มาถามทีหลัง...หมาใหญ่ที่นั่งข้างหลังเรา ก็นึกเหมือนกันว่าทำไมวันนี้พ่อตูหน้าตาแปลกๆ ฟะ)

10 วิ ต่อมา

อ๊าว..พ่อตูเองนี่หว่า

(พ่อหายวับไปแร้ว)

ก้มลงมองของในมือที่รับมา.........ข้าวกล่องแช่แข็ง

คราวนี้ทุกคนเลยแซว.......โฮ้ย พ่อเขาเอาข้าวมาส่งลูกสาว "คนเดียว" ของเขา

ตอนบ่ายแม่ยังโทรมาถามอีกว่ากินข้าวยัง?

หารู้ไม่ว่าลูกสาวอ่ะ กินข้าวเวฟ เสร็จแล้วก็กินผัดหมี่ (ที่เลี้ยงคนไข้ตอนเช้า) จากนั้นก็ตบท้ายด้วยคัสตาร์ด

ตกบ่าย ไข่นุ้ยที่ไปเที่ยวทุ่งกระเจียว (พวกเราเรียกแบบเสียง ตรี )เอาหม่ำ (อาหารอีสานเป็นใส้วัวยัดใส้เนื้อวัวกับเครื่องเทศอื่นๆ) มาฝาก

ตั้วเจ๊ก็เอาไปไมโครเวฟแล้วเอามากินกัน.......กินต่ออีก

รสชาติแปลกๆ แต่ก็เอาเหอะ.....ของไม่เคยกิน

เจ้าไข่นุ้ยมาชิมดูมั่ง มันบอกว่ายังไม่สุกละมั้ง ไม่เคยกินแล้วคาวๆ แบบนี้

ตั้วเจ๊เลยไปเวฟใหม่

กินเข้าไปแล้วง่า.......

แต่พองวด 2 มา ก็กินต่ออีก

ตบท้ายด้วยไอศครีมก่อนกลับบ้านโคนนึง

ลืมไปเรยว่ากะลังปวดหัวอยู่

ถึงบ้านเลยอ้อนแม่อย่างเนียนๆ ว่าเนี่ยคนไข้เยอะ ปวดหัวด้วย

แล้วก็ทำหน้าผะอืดผะอม (สงสัยจากหม่ำ)

กินยาแล้วก็นอนแบบดับเครื่องจนถึงเวลาข้าวเย็นเลยแหละ